
ปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ ได้มีคณะพ่อค้าวัว ควาย ที่แถบอีสานเรียกว่าคณะนายฮ้อย เดินทางไล่ต้อน วัว ควาย จาก อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีษะเกษ เพื่อจะมาขายยังเมืองลุ่ม คือ เมืองโคราช สระบุรี หรือบางครั้งก็เลยไปถึง ลพบุรี
ในการเดินทาง ใช้เส้นทางผ่านบริเวณภูเขาพนมรุ้ง อำเภอนางรอง คณะนายฮ้อยพ่อค้าวัวควายได้เห็นพื้นที่แถบนี้ มีความอุดมสมบูรณ์ มีห้วยน้ำที่เรียกว่า ลำปะเทีย ไหลผ่านเหมาะแก่การทำเกษตรกรรม ซึ่งต่างจากบ้านตนที่ราษีไศล จังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งดินแข็ง แห้งแล้ง เพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล

“ ผู้ใหญ่บุญมี สุระโคตร หัวหน้านายฮ้อย ได้ชักชวนชาวบ้านหลายหมู่บ้านย้ายถิ่นฐานเดิม
พากันอพยพมาถากถางตั้งรกรากใหม่บริเวณ “โคกหัวเสือ” ใกล้เชิงเขาพนมรุ้ง ”
ผู้ใหญ่บุญมี สุระโคตร หัวหน้านายฮ้อย จึงได้ตัดสินใจชักชวนพี่น้องบ้านดู่ บ้านกระเดา บ้านครั่ง เป็นต้น นำโดย พ่อใหญ่โม่ พ่อใหญ่ผุย พ่อใหญ่ผาย…พากันอพยพย้ายถิ่นฐานมาถากถางตั้งรกรากใหม่บริเวณ “โคกหัวเสือ” ใกล้เชิงเขาพนมรุ้ง คำว่า “โคกหัวเสือ” เป็นชื่อเรียกมาแต่โบราณก่อนตั้งหมู่บ้าน เพราะมีรูปสลักหัวเสือหินทราย ต้ังอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม (ปัจจุบันหายสาบสูญ) ชาวบ้านให้ความเคารพ ตั้งเป็นศาลกราบไหว้บูชามาแตอดีต
เมื่อตั้งหมู่บ้านเป็นรูปเป็นร่าง เป็นปึกแผ่นมีความน่าอยู่ขึ้น ก็มีพี่น้องจากชุมชนอื่น ย้ายตามมาอยู่ด้วย บ้างก็เดินทางมาโดยกองคาราวานกวียน บ้างก็เดินทางมาทางรถไฟ ลงที่สถานีเมืองบุรีรัมย์ แล้วเหมารถคอกหมูมาส่งอีกต่อหนึ่ง
เมื่อหมู่บ้านมีพี่น้องทยอยเข้ามาอาศัยมากขึ้น เพื่อไม่ให้ขาดที่พึ่งทางจิตใจ จึงได้พร้อมใจกันสร้างที่พักสงฆ์ขึ้นบริเวณศาลโคกหัวเสือกลางหมู่บ้าน



พ่อใหญ่บุญมี สุระโคตร ได้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้านโคกหัวเสือ และได้ถวายที่ดินท้ายหมู่บ้านเพื่อสร้างวัด และได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดสุขสำราญ

ตามหนังสืออนุญาตให้สร้างวัด เลขที่ ๑๔/๒๕๑๑ อนุญาตให้สร้างวัดตั้งแต่วันที่ ๒๓ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๑ ออกโดยกรมการศาสนา ด้วยความเห็นชอบของกระทรวงศึกษาธิการและมหาเถระสมาคม ลงนามโดยอธิบดีกรมการศาสนา
วัดสุขสำราญ เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวบ้าน ผ่านกาลเวลายาวนาน ยุคแห่งการพัฒนาเห็นจะเป็นยุคหลวงพ่อพระครูสุวัจวรคุณ (หลวงพ่อพระครูสมหวัง) ท่านเป็นนักสร้าง นักพัฒนา ที่สำคัญท่านเป็นช่าง มีคามอุตสาหะตั้งใจ นำพาญาติโยม พระ เณร ทำการก่อสร้างถาวรวัตถุ เสนาสนะ อาทิ เช่น โบสถ์ ศาลาการเปรียญ กุฎิสงฆ์ เมรุเผาศพ ที่กล่าวมาล้วนเกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงความสามัคคีชาววัด ชาวบ้าน
ในส่วนของประเพณีวัฒนธรรม หลวงพ่อพระครูสมหวัง ท่านได้นำพาชาวบ้านไปเรียนตีกลองยาว ที่บ้านคำน้ำส่าง จังหวัดยโสธร หนึ่งพรรษา หลวงพ่อมหาเหล็ก สมัยนั้นท่านเป็นพระหนุ่มได้ร่วมไปกับคณะด้วย
หลังจากที่ได้ร่ำเรียนตีกลองยาว กลับมาก็พากันเข้าป่าพนมรุ้งหาไม้มาถากกลึงให้เป็นกลอง แล้วต้ังคณะกลองยาวขึ้น เพื่อรับใช้งานบุญ รวมถึงบุญประเพณีต่าง ๆ ทางศาสนา สืบมา
ด้านการศึกษา เดิมทีชาวบ้านโคกหัวเสือต้องส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านยายคำ ซึ่งไม่สะดวกต้องเดินทางไกล ทางวัดสุขสำราญจึงให้ศาลาการเปรียญหลังเดิม ซึ่งเป็นศาลาไม้ เป็นที่เรียนหนังสือของลูกหลาน มีครูใหญ่คนแรกชื่อ นายพวง มาพิทักษ์
จากนั้นไม่นาน ทางวัดได้จัดสรรพื้นที่ด้านหลังให้สร้างโรงเรียน ในนาม โรงเรียนวัดสุขสำราญ ตั้งแต่นั้นมา
ปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ หลวงพ่อพระครูภาวนาวิหารธรรม (พระมหาเหล็ก จนฺทสีโล) ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดสุขสำราญ ถึงปัจจุบัน เป็นยุคที่ วัดสุขสำราญ มีการพัฒนาที่สุดในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านเสนาสนะ และงานเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐาน สวนธรรมโคกระกา สถานปฏิบัติธรรม ได้ถือกำเนิดขึ้น และเป็นที่รู้จักของผู้แสวงบุญ อย่างกว้างขวาง งานวิปัสสนาธุระ ได้ขับเคลื่อนอย่างเป็นทางการแล้ว ณ สวนธรรมโคกระกา วัดสุขสำราญ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก มหาอ้น






















